ทำยังไงให้เราเป็นคนที่ตัดสินใจได้ดีขึ้น
ใครที่มีเรื่องยากๆ ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี ตัดสินใจไม่ได้ โพสนี้มีคำตอบ
มีคนมาถามพลอยหลายครั้งว่าพี่พลอยตัดสินใจยังไง? จะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราตัดสินใจนั้นมันดีแล้ว ทำยังไงให้เราสามารถเลือก choice ที่ดีที่สุด
ซึ่งปกติถ้าให้ตอบไวๆก็คงจะตอบว่า
"ถ้าพี่รู้ชัดๆว่าควรเลือกอะไรแล้วจะเกิดอะไรขึ้น พี่ไปเป็นหมอดูแล้วจ้า"
ล้อเล่นคับ =o="
ปกติแล้วพลอยจะพยายามทำความเข้าใจให้ตัวเองมั่นใจก่อนประมาณ 60-70% และใช้ Gut feeling ในส่วนที่เหลือในการตัดสินใจ แต่..
แล้วไอ 60-70% ของนั้นคิดยังไงคิดมาจากอะไร?
.
.
ซึ่งตอนนี้เอง ก็เป็นช่วงที่พลอยกำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆในชีวิตเหมือนกัน
แล้วก็ติดกับดักตัวเองมาซักพัก ก็เลยถือโอกาสนี้ มานั่งตกผลึกจริงๆจังๆ แล้วเอาสิ่งที่พลอยศึกษามาเพื่อทำให้เราตัดสินใจอะไรในชีวิตกันได้ดีขึ้น
(หมายเหตุ : เนื้อหาต่อไปนี้ ประกอบไปด้วย อนัญญาคิดเอง ซึ่งไม่ขอคอนเฟิร์มว่าถูกหรือผิด ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ และประกอบมาจากหนังสือที่เคยอ่านหลายๆเล่ม แปะ ref. ไว้ข้างล่าง)
คำเตือน : content นี้ยาวโคตรๆ
.
ขอแบ่งเนื้อหาเป็นตามนี้
- ตัดสินใจที่ถูกต้อง ≠ ผลลัพท์ที่ดี
- ทำไมเราถึงตัดสินใจไม่ได้ซักที
- คนเรามีวิธีตัดสินใจยังไงอยู่?
- เราจะตัดสินใจให้ดีขึ้นยังไง?
- ข้อควรระวังในการตัดสินใจ
- ตัดสินใจเก่งอาจจะไม่พอ
- บทสรุป
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครที่กำลังต้องตัดสินใจปัญหาอะไรยากๆในชีวิต และคนที่อยากฝึกเป็นคนที่กล้าตัดสินใจอะไรให้ดีขึ้นนะคับบ ลุยย
ตัดสินใจที่ถูกต้อง ≠ ผลลัพท์ที่ดี
สำหรับคนที่อยากตัดสินใจให้ดีขึ้น สิ่งแรกที่ทุกคนควรเข้าใจก่อน คือ
ไม่ว่าเราจะเลือกตัดสินใจดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ผลลัพท์ที่ดีตามที่ตั้งใจไว้
เพราะฉะนั้น เราต้องแยกเรื่องการตัดสินใจ กับผลลัพท์ออกจากกันก่อน
.
ตัวอย่าง
- พลอยลงเงินเก็บเข้าไปในเหรียญ cryto โดยไม่มีความรู้ แต่โชคดีเหรียญนั้นโต x10 ทำให้ได้กำไรบานเบอะ
- พลอย ได้รับโอกาสให้ไปทำงานต่างประเทศ เงินดี งานดี บริษัทดี มีโอกาสเติบโต เลยตัดสินใจลาออกจากงานที่ไทยไป ปรากฏว่าผ่านไป 3 เดือน เกิดเหตุการ์ณไม่คาดฝันบริษัทพังโดน layoff แบบไม่มีเงินชดเชยจ่าย กลับมาตกงานที่ไทย
คำถาม????
การที่พลอยเลือกลงทุนแบบนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่? และการที่พลอยเลือกไปทำงานต่างประเทศนั้น เป็นการที่ตัดสินใจผิดรึเปล่า?
แล้วจะ define ได้ยังไง ว่าการตัดสินใจอันไหนถูกหรือผิด?
.
พลอยค้นพบว่าจริงๆแล้ว มันไม่มีการตัดสินใจที่ถูกหรือผิด
เพราะว่ามันจะถูกหรือผิด มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เรามองมันที่เวลาไหน
เช่น ถ้ามองในเวลานั้นเลย อาจจะตอบได้ว่า พลอยเลือกผิดที่ไปทำงานต่างประเทศ แต่ว่าถ้าผ่านไป 1 ปี พลอยได้งานใหม่ที่ต่างประเทศที่เริ่ดกว่าเดิม เพราะว่าเคยมีประสบการ์ณทำงานเมืองนอกมาก่อนหล่ะ จะถือว่าการตัดสินใจนั้นผิดอยู่รึเปล่า?
เพราะฉะนั้น
เราไม่มีทางรู้เลย ว่าการตัดสินใจอันไหนคือการตัดสินใจที่ดีกว่า
สิ่งที่เราทำได้คือการตัดสินใจให้ดีที่สุดในเวลานั้นๆ
พอเรารู้แล้วว่าเราไม่มีทางรู้ว่าการตัดสินใจไหนถูกต้อง ขั้นต่อไปที่พลอยทำคือวิเคราะห์ตัวเอง ว่าทำไมยังตัดสินใจไม่ได้
ทำไมเราถึงตัดสินใจไม่ได้ซักที?
ปัญหาใหญ่ของการตัดสินใจ คือการไม่ตัดสินใจ
ปกติแล้วพลอยเป็นคนตัดสินใจอะไรไวมากๆ แต่พอมาวันนี้กลับมีเรื่องที่ทำให้พลอยติด คิดวนไปวนมาเป็นเดือนๆ แล้วก็เลยค้นพบว่า
พลอยเลยลิสออกมา ว่าอะไรบ้างนะที่ทำให้พลอยตัดสินใจไม่ได้
- ความไม่ชัดเจนในผลลัพท์ที่ต้องการ
- ข้อมูลไม่มากพอ
- option ต่างๆ มีความใกล้เคียงกันมากเกินไป
- มันเป็นสิ่งที่เทียบกันยาก
- mental stage ที่ไม่พร้อม
ความไม่ชัดเจนในผลลัพท์ที่ต้องการ
บางทีเรายังไม่ชัดเลยว่าเราจะเลือกอะไรไปเพื่ออะไร มองยังไม่เห็นปลายทาง ก็ทำให้ตอบไม่ได้ว่าเราควรเลือกทางไหนมากกว่ากัน
เช่น อยากทำธุรกิจ แต่เลือกไม่ได้ว่าจะทำอะไรดี ปลายทางที่ต้องชัดคือ อยากทำธุรกิจไปทำไม? ภาพที่อยากเห็นสุดท้ายเป็นแบบไหน?
บางคนบอก อยากมีลูกน้องเป็น 100 คน บางคนอาจจะอยากเดินทางไปทั่วโลก สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเริ่มตัด choice ต่างๆออกไปได้ ว่า choice เหล่านั้นนำไปสู่ปลายทางที่ต้องการได้รึเปล่า ยากง่ายขนาดไหน?
ถ้าเราชัดเจนในเป้าหมายของเรา เราจะเริ่มตัดตัวเลือกได้ง่ายขึ้น
.
ข้อมูลไม่มากพอ
เวลาเราจะตัดสินใจ เราจำเป็นต้องมีข้อมูลบางอย่างมาประกอบ เช่น มีคนมาจีบ 3 คนจะเลือกคนไหนดี? ถ้าอยู่ดีๆโผล่เข้ามาโดยไม่รู้อะไรเลย เราก็คงตัดสินใจไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องหาข้อมูล หรือทดลองไปเดท ทดลองคุย เพื่อที่จะได้ข้อมูลมากพอต่อการตัดสินใจ
พลอยเองก็เลือกไม่ได้ว่าพลอยจะเลือกทำอะไรต่อ เพราะเราไม่รู้ว่าเลือกแต่ละทางไปจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องบางเรื่องจะไม่สามารถหาข้อมูลได้มากขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ทดลองทำ
ถ้ามันหาข้อมูลไม่ได้แล้ว ก็ต้องรู้ตัวว่าต้องตัดสินใจจากข้อมูลเท่าที่มีให้ดีที่สุด
.
option ต่างๆ มีความใกล้เคียงกันมากเกินไป
จาก hick's law ยิ่งตัวเลือกยิ่งเยอะ คนยิ่งเลือกไม่ได้
เพราะเวลาเปรียบเทียบแล้ว มันจะมีสิ่งที่ใกล้ๆกันมากเกินไป เช่น ผู้หญิงเลือกลิปสติก ที่เลือกไม่ได้เพราะมันใกล้เคียงกันมากๆ เลือกอันไหนไปก็อาจจะมีผลลัพท์ที่ไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเลือกๆไปเถอะ
.
มันเป็นสิ่งที่เทียบกันยาก
สำหรับพลอยอันนี้คือแก้ยากสุด บางอย่างมันสามารถเปรียบเทียบกันได้อย่างชัดเจน เช่น จะเลือกทำงานที่ A หรือ B เงินเดือน สวัสดิการ ออฟฟิศใกล้ไกลแค่ไหน เวลาทำงานต่อวัน สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่เปรียบเทียบได้ชัดเจน
แต่ ...
เวลามันเลือกยากๆ มันจะเป็นการเลือกระหว่างสองอย่างที่หน่วยวัดไม่เหมือนกัน
เช่น เราคงไม่เอาเลือกคู่ชีวิต จากการดูว่าคนไหนเงินเดือนเยอะกว่ากัน เพราะต่อให้เงินเดือนเยอะแต่คุยแล้วไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ
แล้วยิ่งถ้าเป็นบริบทที่ต่างกัน มาตราวัดก็ไม่เหมือนกันไปด้วย แล้วจะยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เช่น เลือกระหว่าง ไปทำงานที่ต่างประเทศตามที่ตัวเองใฝ่ฝัน หรือ ทำงานใกล้ๆบ้านเพื่อจะอยู่ดูแลพ่อแม่?
.
mental stage ที่ไม่พร้อม
เราจะไม่สามารถคิดทุกข้อที่ผ่านมาออกได้เลย
ถ้าสมองจิตใจเราไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ปกติ
สิ่งนึงที่พลอยสังเกตุเห็นมากๆ คือคนที่ success ทุกคนพูดถึงเรื่อง mindfulness กันหมด คือการทำยังไงก็ได้ให้สมองอยู่ในสภาวะที่ทำงานได้ดีและมีโฟกัส
.
.
ด้วยทั้งหมดนี้ พลอยค้นพบว่า การตัดสินใจมันจะไม่ได้ยากขนาดนั้นต่อให้ไม่ได้มีอะไรที่ชัดเจน ถ้าเกิดการตัดสินใจของเรานั้นมันหวนกลับได้
เพราะฉะนั้น การตัดสินใจที่ยากและทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ทั้งหมด มักจะเป็นอะไรที่ irreversible เพราะเราไม่สามารถลอง option อื่นๆ ได้อีกแล้ว
บังเอิญเรื่องที่พลอยต้องตัดสินใจนี้มัน irrevesible ซะด้วยสิ!
เอ้า แล้วต้องทำยังไงอะ???
คนเรามีวิธีตัดสินใจยังไง?
อย่างแรก พลอยต้องเข้าใจตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจอะไรไปแบบไวๆ
เรามาเข้าใจวิธีการที่เราใช้ตัดสินใจกันก่อน
สมองเราชอบตัดสินอะไรแบบง่ายๆ
จากหนังสือ Predictably Irrational
ทุกคนอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุมีผล แต่โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ตัดสินใจอะไรแบบไม่ได้เป็นเหตุผลที่ถูกต้องขนาดนั้น เพราะเราเจอกับดักบางอย่าง ทำให้เหตุผลที่ถูกต้องมันหายไป
เช่น คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อยาพาราราคา 20 บาท แทนที่จะเป็นยาพาราราคา 5 บาททั้งๆที่ส่วนผสมแทบจะเหมือนกัน เพราะเราเชื่อว่า ยาราคา 20 บาทน่าจะมีคุณภาพที่ดีกว่า (ซึ่งไม่จริงเสมอไป)
(ไม่ได้อ่านเล่มนี้นานมากๆแล้ว หาไม่เจอแล้วด้วยแต่จำได้ว่าดีมากๆ)
.
จริงๆพลอยกำลังเลือกอยู่ว่าพลอยอยากจะใช้ชีวิตในปีต่อจากนี้แบบไหน?
อะไรคือสิ่งที่พลอยอยากทำจริงๆกันแน่
ถ้าเอาตามอารมณ์ล้วนๆ สิ่งแรกที่ขึ้นมาในหัวคือ "พลอยอยากไปวาดรูป อยากไปเป็น Artist"
ซึ่งไม่ว่าจะปรึกษาใคร ทุกคนก็ต่อต้านหนทางนี้ของพลอยทั้งนั้น
ด้วยความที่เป็น MBTI- ENTP (debater) ความชอบโต้ประเด็นต่างๆมันอยู่ในสายเลือด กลายเป็นว่า พลอยสามารถหาเหตุผลมา Support ทุกอย่างที่พลอยอยากทำได้หมด
พลอยเลยค้นพบว่า
เราใช้ความรู้สึกตัดสินใจ และ เอาเหตุผลมา support การตัดสินใจของเราอีกที
ด้วย Life Goal แล้วจริงๆแล้ว การไปเป็น Artist มันใช้สิ่งที่พลอยควรจะทำตอนนี้จริงๆรึเปล่า?? มันตอบโจทย์กับสิ่งที่พลอยต้องการไหม?
.
อันนึงที่น่าสนใจอยากเอามาแชร์เพิ่มเกี่ยวกับเรื่องการตัดสินใจของเราคือ การไม่ได้ตัดสินใจอะไรจริงๆ แต่ปล่อยชีวิตไปตาม auto pilot โหมด
(เพราะว่ารู้ตัวว่าค่อนข้างจะ autopilot เยอะพลอยเลยเริ่มมาคิดจริงจังว่าจะทำอะไรจนเกิดคอนเทนท์นี้ขึ้นมา)
ก็เลยอยากมาแชร์คอนเซ็ปของ Thinking Fast and Slow
ถ้าตามหนังสือ thinking fast and slow แล้ว จะแบ่งวิธีใช้สมองเราเป็น 2 systems
system 1 : คือระบบที่ทำงานอัตโนมัติ (สัญชาตญาณ)
system2 : คือระบบที่เราต้องพยายามควบคุม มีการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราขับรถบนถนนที่คุ้นเคย ระบบ 1 จะควบคุมการขับขี่โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น รถเฉี่ยวชน ระบบ 2 จะเข้ามาทำงานเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไป
ซึ่งแน่นอนอย่างที่บอกว่า สมองเราชอบอะไรง่ายๆ คนเราจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่รันด้วย system1 ก็คือตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณ
แล้วสัญชาตญาณเกิดจากอะไรหล่ะ??
ตอบ : ประสบการณ์
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่ามันจะถูกต้องเสมอไป ถ้าพลอยเลือกทำอะไรแบบเดิมๆ สมองพลอยจะทำงานด้วย system1 เยอะเป็นพิเศษเพราะว่ามันเคยชินไปแล้ว
การที่พลอยเข้าใจเรื่องการตัดสินใจของมนุษย์ ทำให้พลอยมี self-aware มากขึ้น
ก็เลยแทนที่จะตัดสินใจผ่ามๆ ตามอารมณ์ และสัญชาตญาณลองของใหม่ของพลอย มาวิเคราะห์จริงจังกันไปเลยดีกว่า ว่าควรไปทางไหน
แล้วจะเลือกให้ดีได้ยังไงหล่ะ??
เราจะตัดสินใจให้ดีขึ้นได้ยังไง?
พลอยชอบที่หนังสือเล่ม thinking in bet บอกเกี่ยวกับ การตัดสินใจ คือ
ทุกการตัดสินใจคือการพนัน
เพราะฉะนั้น ให้มองวิธีการตัดสินใจให้เหมือนการเล่น Poker
ยิ่งเรามีความสามารถในการตัดสินใจได้ดีขึ้นในระยะยาว เราก็จะมีโอกาสเข้าสู่ความสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น
.
จะฝึกการตัดสินใจให้ดีขึ้นก็คือต้องฝึกใช้ system2 ในการตัดสินใจ คืออย่ารีบ ใช้เวลาคิดทบทวนกับมันหน่อย
ว่าแต่ไอทีเราต้องฝึกมันคืออะไร? อย่างแรก
ชัดก่อน ว่าปลายทางคืออะไร?
ถึงแม้จะยังเห็นไม่ได้ชัด 100% แต่ว่า condition ที่เราคิดออกให้แปะออกมาให้หมด โดยการถามตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าถ้าเป็นแบบนี้ได้ไหม? ได้ไม่ได้ ก็จดไว้หมด
เช่น อยากได้รายได้เดือนละ 1,000,000 บาท
แล้วถ้าต้องทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์หล่ะ?ได้ไหม?
ถ้าไม่ได้ แล้วต้องเป็นกี่วัน?
แล้วต้องเข้าออฟฟิศไหม?
ทำคนเดียวได้ไหม?
ถามไปเรื่อยๆ จะเริ่มชัดในเป้าหมายของเราเอง
.
พอพลอยชัดแล้ว ก็มาต่อที่ว่า ปลายทางที่เห็นนี้คือ time frame เท่าไหร่???
1 ปี, 3 ปี, 5 ปี อันนี้ขึ้นอยู่กับเราเลย
บางทีเราอาจจะตัดสินใจอะไรแบบ short-term มากเกินไป เราก็ต้องพยายามคิดถึงผลไกลๆด้วย แต่ละคนไม่เหมือนกัน Key คือการหา balance แหละว่าเราคิดแบบไหนอยู่ ต้องคิดทั้งสองแบบ
มีกฏที่เรียกว่า 10-10-10 ที่เอามาใช้ในการตัดสินใจได้เช่นกัน
มันเป็นการตอบคำถามตัวเองว่า เราจะรู้สึกยังไงกับการตัดสินใจนี้ ในอีก 10 นาทีข้างหน้า ในอีก 10 เดือนข้างหน้า และ ในอีก 10 ปีข้างหน้า
.
พอชัดแล้ว ก็มาลงรายละเอียดเปรียบเทียบแต่ละ option ในแต่ละมุมกัน
พอมานั่งคิดดูดีๆ ข้อมูลที่พลอยพยายามใช้ในการเปรียบเทียบ มันลงมาเหลือแค่ 3 อย่างหลักๆ ซึ่งก็คือ
- Cost (trade-off) : เลือกเส้นทางนี้ต้องเสียอะไรไปบ้าง
- Risk : มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน? ยังไงบ้าง
- Benefit : ผลตอบแทนที่เราจะได้กลับมาคืออะไร?
พอทำแล้วรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยกลม
ถ้าเกิดเราคิดรายละเอียดใน Cost,Benefit,Risk ไม่ได้หล่ะ?
.
พลอยก็เลยมานั่งคิดต่อ แล้วก็คิดถึงหลักการ หมวก 6 ใบที่เคยใช้สมัยทำ Product Management ก็เลยเอามาลองดู
6 Thinking Hat Framework คืออะไร?
โดยปกติแล้ว เวลาเราคิดอะไร เรามักจะมีไบแอสและคิดแค่ด้านที่เราถนัด ทำให้เราตัดสินใจได้ไม่ดี เพราะมองไม่ครบด้าน
ก็เลยมีหลักการที่เหมือนเอาเราไปอยู่ในมุมมองของคนอื่น โดยเป็นการใส่หมวกของคนอื่นดู เหมือนการที่เราลองคิดว่าถ้าเราไปปรึกษาเพื่อน เพื่อนจะตอบว่ายังไง
แต่หลักการ 6 หมวกนั้นคือมีการวาง character แล้วว่าแต่ละหมวกมีแนวคิดแบบไหน
- หมวกขาว (White Hat) - คุยเฉพาะข้อมูลและบนความเป็นจริง
- หมวกแดง (Red Hat) - คุยในมุมความรู้สึก เช่น ชอบ ไม่ชอบ โดยที่ไม่ต้องสนใจเรื่องเหตุผล
- หมวกเหลือง (Yellow Hat) - มองถึงโอกาสในแง่บวกที่สามารถเกิดขึ้นได้และพวกข้อดีต่างๆเมื่อเลือกหนทางนี้
- หมวกดำ (Black Hat) - คุยกันเรื่องข้อควรระวัง จุดที่มีความเสี่ยง ข้อเสีย อุปสรรคที่น่าจะเกิดขึ้นได้
- หมวดเขียว (Green Hat) - เป็นหมวกที่ใช้ความคิดสร้างสรรค คุยกันเรื่องอะไรใหม่ๆนอกกรอบที่มีอยู่ เพื่อให้ได้เห็นไอเดียใหม่ๆ หรือหนทางใหม่
- หมวกฟ้า (Blue Hat) - อันนี้เป็นหมวกปิดท้าย หรือเรียกว่าหมวก management หลังจากที่ได้ข้อมูลจากทุกหมวกแล้ว หมวดฟ้ามีหน้าที่ที่จะ structure ความคิดทั้งหมด ออกมาเป็น thought process และสรุป
ไว้มีโอกาสจะเขียนเรื่องนี้เต็มๆอีกที เพราะว่าดีเทลของแต่ละหมวกก็เยอะมากเหมือนกัน ที่แน่ๆเลยคือ เราชอบมองแค่ในมุมในมุมนึง
เพื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้น ลองถามตัวเองดูว่า ปกติแล้วเราใส่หมวกสีอะไรมากที่สุด?
.
พอลองทำหมดนี้แล้ว จริงๆช่วยได้เยอะขึ้นเยอะมากๆ
มันเป็นการทำให้เห็นภาพมากขึ้นว่าแต่ละ option เป็นยังไง แล้วทำให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
แต่ขอเสริมอีกนิด มันมีทริคที่พลอยชอบ
เป็น Tricks ที่พลอยเอามาใช้ จากหนังสือเรื่อง DECISIVE ที่พลอยว่า practical ดี
- ลองมอง option เยอะๆดู โดยการลองถามตัวเองดูว่า เราจะทำยังไงถ้าตัวเลือกที่มีอยู่ทั้งหมดนี้หายไป
- ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ลองคิดว่าถ้าเกิดเพื่อนมาปรึกษาสิ่งนี้กับเรา เราจะตอบไปว่ายังไง?
- ลองเรียงลำดับความสำคัญของ option ดู ตาม value ของเรา
- เปลี่ยนจากการถามตัวเองว่าทำไมต้องทำสิ่งนี้ เป็นทำไมเราต้องไม่ทำสิ่งนี้?
จริงๆหนังสือเล่มนี้มาหลายทริคนะ แต่เอามาเฉพาะที่พลอยเอามาลองใช้กับตัวเอง
.
ปล.จริงๆมันมีสูตรคำนวนที่สามารถเอามาใช้กับการตัดสินใจด้วย แต่ว่าอาจจะเนิร์ดไป และตัวพลอยเองก็ยังเชื่อว่าการตัดสินใจสุดท้ายแล้วมันก็ subjective ในระดับนึง
คิดแต่พอประมาณ อย่าเสียเวลามากเกินไปจะดีกว่า
ข้อควรระวังในการตัดสินใจ
การไม่ตัดสินใจ หรือการยื้อการตัดสินใจ เป็นเรื่องอันตราย
แน่นอนว่าเราควรต้องมีการคิดในการตัดสินใจใหญ่ๆ หรือไม่ด่วนตัดสินใจเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน การที่เราไม่ยอมตัดสินใจ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
ทุกๆเรื่องที่เราต้องตัดสินใจนะ มีเวลาของมันอยู่ 🕝
พลอยค้นพบว่าการยื้อการตัดสินใจในเรื่องหลายๆเรื่อง จะทำให้เกิดผลเสียและกระทบต่อผลลัพท์ที่ควรจะเป็น เพราะมันเลยเวลาตัดสินใจแล้ว
จากช่องของ Dr.K พลอยชอบมากที่เค้าบอกว่า
คนที่ Decisive -> อยู่ด้วย mindset ที่ว่าจะทำยังไงก็ได้ให้มันเวิร์ค ในขณะที่
คนที่ Indecisive -> จะโฟกัสในการเลือก the right choice
.
มีเรื่องนึงที่เค้าเล่า แล้วพลอยว่าเป็นตัวอย่างที่ดี
ผู้ชายคนนึง ตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ดีไหม? เลยยื้อไปเรื่อยๆ เพราะเค้าเป็นคน Indecisive กว่าจะถึงจุดที่เค้าตัดสินใจได้ กลายเป็นว่าผู้หญิงไม่รอแล้ว
น่าเศร้าก็คือ เค้าคิดว่า การที่เค้าเลือกผู้หญิงคนนี้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะผู้หญิงทิ้งเค้าไป แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด แต่เป็นการรอการตัดสินใจต่างหากที่ผิด
*บางการตัดสินใจในชีวิตมันรอไม่ได้นะคะ*
ตัดสินใจเก่งอาจจะไม่พอ
ผลลัพท์ของการตัดสินใจ
อยู่ที่สิ่งที่เราทำหลังจากที่เราตัดสินใจต่างหาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พลอยสอนน้องๆตอนทำ Product ตลอด คือ
Make the right decision (ตัดสินใจให้ถูก) กับ Make the decision right (ทำให้การตัดสินใจนั้นถูก) มันคือคนละอย่างกัน
และการที่เราอยากจะได้ผลลัพท์ที่ดีนั้น มันก็ต้องทำทั้ง 2 อย่าง
.
.
ทุกคนชอบคิดว่า Decision Making คือการตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร แต่จริงๆแล้วมันคือการตัดสินใจด้วยว่าเราจะไม่ทำอะไร
Making the right decision จริงๆมี 2 tasks
ตัวอย่าง "ตัดสินใจว่าจะลดความอ้วน"
จะลดความอ้วนได้ มี 2 อย่างที่ต้องทำ กิน healthy และ หยุดกินสิ่งที่ไม่ healthy
เพื่อให้ Decision ที่เลือกสำเร็จ ประกอบไปด้วย 2 tasks
- หยุดตัวเองจากความอยากกินเบอร์เกอร์ (ห้ามความอยาก)
- บังคับตัวเองกินสลัด (เลือกที่จะทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
สาเหตุที่คนรู้สึกว่าตัวเองยังวนๆอยู่ที่เดิม เพราะว่าเราไม่เคยโฟกัสในการแยก task ทั้งสองอย่างนี้ออกจากกัน เลยทำไม่สำเร็จ
.
.
บางทีเราอาจจะ Goal Focus ไป จนสนใจแต่ว่าเราจะเลือก The right decision ได้ยังไง ทั้งๆที่จริงๆแล้วสิ่งที่เราควรทำ หรือการเลี่ยงทำให้สิ่งที่ไม่ควรทำต่างหาก
.
.
สุดท้ายผลลัพท์มันเกิดจาก การลงมือทำมากกว่าอยู่แล้ว
บทสรุป
สุดท้ายนี้ ไม่มีใครเดาอนาคตได้ ผลลัพท์มันไม่ได้เกิดมาจากการตัดสินใจเท่านั้น
.
ถ้าย้อนกลับมาตอบน้องๆที่มาถามว่า "เราจะตัดสินใจยังไงดี?"
สิ่งที่อยากบอกกับน้องคนนั้นก็คือ
"ไปอ่านคอนเทนท์นี้ดูนะ" อะ ล้อเล่น 5555
คงบอกว่า "ถ้าคิดมาแล้วก็ตัดสินใจไปเถอะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าสิ่งที่เราเลือกจะพาเราไปทางไหน ทำให้ดีที่สุดในขณะนั้นให้ได้ก็พอ"
พลอยเชื่อว่า สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการ ทำให้ดีที่สุด และยอมรับในทุกผลลัพท์ที่มันจะเกิดขึ้นโดยไม่โทษใคร ถ้าทำได้แค่นี้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย
.
จริงๆเขียนเก็บไว้อ่านเองในระดับนึง
แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังตัดสินใจอะไรในชีวิตอยู่นะ :)
.
.
ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงตกผลึกตัวเอง ตกผลึก learning ที่ผ่านๆมา แล้วเอามาเขียนสรุป
ใครคิดว่าเป็นประโยชน์ฝากกด subscribe กันไว้ด้วยนะคับบบ